วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552

วินัยทหาร ๙ ข้อ

กล่าวนำ
ความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
ที่มาของกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
ความเกี่ยวพันระหว่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกับ กฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
กฎหมายว่าด้วยวินัยทหารและความเกี่ยวพันกับกฎหมายอื่น
ความหมายของคำว่า “วินัยทหาร” และ “แบบธรรมเนียมทหาร”
ตัวอย่างของการกระทำผิดวินัยทหาร
ผู้ที่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
ผู้บังคับบัญชา และผู้ใหญ่เหนือตน
ทัณฑ์ทางวินัย
ผู้มีอำนาจลงทัณฑ์ทางวินัย
เกณฑ์เทียบชั้นผู้ลงทัณฑ์และผู้รับทัณฑ์
การเทียบตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์และผู้รับทัณฑ์
ข้อพึงระลึกในการลงทัณฑ์
ข้อพิจารณาเกี่ยวกับความผิดบางลักษณะที่มีองค์ประกอบคล้ายกัน
การกระทำอย่างไรที่ถือว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ
กรณีที่เป็นความผิดลหุโทษและความผิดที่เปรียบเทียบได้
กล่าวนำ
วินัยทหารเป็นหลักสำคัญที่สุดสำหรับทหารในยามสงคราม ถ้าทหารมีวินัยดี การปกครอง บังคับบัญชาเป็นระเบียบเรียบร้อย การปฏิบัติในการรบย่อมมีหวังในชัยชนะถ้าทหารไม่มีวินัย ควบคุม กันไม่ได้ สมรรถภาพของทหารก็จะเสื่อมโทรม ไม่อาจปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดให้สำเร็จลุล่วงไป จนอาจเป็นภัยร้ายแรงแก่ประเทศชาติได้ แม้ในยามปกติ การมีวินัยของทหารยังเป็นเครื่องเชิดชูเกียรติ แสดงถึงสมรรถภาพของกองทัพเป็นที่ยกย่องแก่ประชาชนทั่วไป
ความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
เนื่องจากทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศชาติโดยตรง และเป็นกลุ่มบุคคลที่ถืออาวุธโดยเปิดเผย ย่อมกระทำผิดได้ง่ายกว่าบุคคลพลเรือนทั่วไปดังนั้น การปกครองบังคับบัญชาทหารจึง จำเป็นต้องกระทำโดยเฉียบขาด สำหรับการบังคับบัญชาหมายถึง อำนาจปกครอง, ควบคุมดูแล และสั่งการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ โดยเรียกผู้มีอำนาจปกครองควบคุมดูแลและสั่งการนั้นว่า “ผู้บังคับบัญชา” และเรียกผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองควบคุมดูแลและสั่งการนั้นว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชา” ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากสามารถปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ ความมีวินัย ซึ่งหากทหารขาดวินัยหรือวินัยหย่อนยานเสียแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความแตกแยก แตกความสามัคคี และยากที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุภารกิจ ซึ่งอาจส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อส่วนรวมได้ในที่สุด สำหรับเครื่องมือสำคัญเครื่องมือสำคัญเบื้องต้นของผู้บังคับบัญชา ในอันที่จะรักษาระเบียบวินัยของ ทหารก็คือ กฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาเพื่อใช้ในการปกครอง บังคับบัญชา ตลอดจนให้อำนาจลงทัณฑ์แก่ทหารผู้กระทำผิดวินัยทหารโดยเฉพาะ ทั้งยังเป็นการ ช่วยเสริมสร้างกองทัพ ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพเข้มแข็ง
ที่มาของกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
การปกครองของไทยในสมัยโบราณนับตั้งแต่กรุงสุโขทัย ยึดถือนโยบายการป้องกัน ประเทศเป็นหลัก ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร การปกครองทั่วไปใช้วิธีปกครองอย่างทหาร ดังนั้น วินัยกับทหารจึงเป็นสิ่งที่คู่กันมาตลอดมา แต่ระเบียบกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับต่าง ๆ ยังมิได้ ตราขึ้นเป็นกฎหมาย คงยึดถือประเพณีหรือแบบธรรมเนียมที่ทหารต้องประพฤติปฏิบัติตาม ครั้น ในสมัยต่อ ๆ มา แม้การศึกสงครามจะห่างลง ทำให้การปกครองอย่างทหารผ่อนคลายลงไป แต่และการออกสงคราม เช่น พระอัยการอาญาหลวง บัญญัติในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีอู่ทอง พ.ศ.๑๘๙๕ พระอัยการกบฏศึก บัญญัติในแผ่นดิน สมเด็จพระ...ผูกพันกันเป็นอย่างมาก ซึ่งจะพบว่ามีกฎหมายหลายฉบับที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารและเรียกผู้อยู่ใต้อำนาจปกครอง ควบคุมดูแลและสั่งการนั้นว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตราพระราชบัญญัติ และประกาศต่าง ๆ เล่ม ๓ ออกใช้บังคับ ซึ่งในกฎหมายฉบับนี้มีประกาศพระราชกำหนดกฎหมายทหาร โดยพระยาบุรุศรัตนพัลลภจางวาง ผู้กำกับทหารบกทุกหมู่ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันอังคาร เดือน ๗ ขึ้นค่ำหนึ่ง จ.ศ.๑๒๒๕ (พ.ศ.๒๔๐๖) สำหรับใช้บังคับแก่ทหารที่มียศต่าง ๆ ตั้งแต่ครู นายแถวและทหารเลว รวม ๑๓ ข้อ เพื่อยึดถือปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องการลา การเตรียมตัว เมื่อถึงเวลาฝึกหัด การระวังรักษาดูแลเครื่องแต่งกาย การจัดยามประจำหน้าที่ การลงโทษทหาร ที่เกียจคร้านการฝึก การลงโทษทหารที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การลงโทษทหารที่นินทาด่าผู้บังคับบัญชา ทั้งต่อหน้า และลับหลัง แบบธรรมเนียมในการแสดงความเคารพต่อผู้บังคับบัญชา และผู้ใหญ่นับได้ว่ากฎหมายฉบับ นี้เป็นกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารและแบบธรรมเนียมต่าง ๆ สำหรับให้ทหารผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชายึดถือปฏิบัติในสมัยนั้น ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ตรากฎหมายว่าด้วยวินัยทหารขึ้นสองฉบับคือ กฎหว่าด้วยอำนาจลงอาญาทหารเรือ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๔๕๔ สำหรับใช้บังคับทหารเรือ และกฎว่าด้วยยุทธวินัยและการลงอาญาทหารบกฐาน ละเมิดยุทธวินัย ลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๔๕๘ สำหรับใช้บังคับทหารบกจนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ กฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าวไม่เหมาะสมแก่กาลสมัย และยังไม่มีความชัดเจนพอ กล่าวคือไม่มีบทนิยามศัพท์ให้แน่ชัดว่าวินัยทหารคืออะไร อีกทั้งเมื่อได้ให้อำนาจแก่ผู้บังคับบัญชาแล้ว ก็สมควรมีหนทางให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถร้องทุกข์ได้ ในกรณีที่ถูกผู้บังคับบัญชากดขี่ โดยอยุติธรรมนั้นได้ด้วย ดังนั้นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม และเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในขณะนั้น จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตออกกฎใหม่ และได้รับพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ตรากฎว่าด้วยยุทธวินัย และการลงอาญาทหารบก ฐานละเมิดยุทธวินัย ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๕ ขึ้นใช้บังคับและให้ยกเลิกกฎหมายเดิมทั้งสองฉบับนั้นเสีย
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินในปี พ.ศ.๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๖ ขึ้นโดยคำแนะนำ และความยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากขณะนั้น ทั้งทหารบกและทหารเรือ ได้รวมเป็นกระทรวงเดียวกัน จึงสมควรให้กฎหมายฉบับเดียวกัน บังคับแก่ทหารทั้งหมด กับให้ยกเลิกกฎว่าด้วยยุทธวินัย และการลงอาญาทหารบก ฐานละเมิดยุทธวินัย และยกเลิกกฎเสนาบดีว่าด้วยอำนาจลงอาญาทหารเรือ โดยให้พระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๖ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๔๗๖ ตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
ความเกี่ยวพันระหว่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกับกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือ ข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ [1] นอกจากนี้ในเรื่องสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย รัฐธรรมนูญได้บัญญัติว่า บุคคลย่อมเสมอภาคกัน ในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน [2] อันเป็นการรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของ ประชาชนคนไทย เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ แต่ในการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว บุคคลที่เข้ารับราชการซึ่งรวมถึงข้าราชการทหารด้วย บุคคลเหล่านี้นอกจากจะอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย ทั่วไปแล้ว ยังต้องอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายเฉพาะต่างหากจากประชาชนทั่วไป เช่น ทหารต้องตกอยู่ ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารเป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง รัฐธรรมนูญทุกฉบับทั้งฉบับปัจจุบัน จึงได้บัญญัติรองรับในเรื่องนี้ไว้ใน มาตรา ๖๔ ว่า “บุคคลซึ่งเป็นทหาร ตำรวจ และข้าราชการอื่นของ รัฐ ฯลฯ ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดในกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจรรยาบรรณ” ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อจำกัดสิทธิและเสรีภาพในเรื่องวินัยสำหรับทหาร เพราะวินัยทหาร เป็นรากฐานสำคัญ และเป็นมาตรการจำเป็นที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติ ราชการเป็นส่วนรวมนั้นเอง
กฎหมายว่าด้วยวินัยทหารและความเกี่ยวพันกับกฎหมายอื่น
ก. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มีบทบัญญัติโดย ตรงที่มีผลบังคับต่อกฎหมายวินัยทหาร คือ ๑) มาตรา ๖๔ บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์การของรัฐ ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพตาม รัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดในกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดย อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจรรยาบรรณ ๒) มาตรา ๖๑ บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ และได้รับแจ้งผลการพิจารณา ภายในเวลาอันสมควร ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ข้อสังเกต จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ ทั้ง ๒ มาตรา เป็นการรองรับ พ.ร.บ. ว่าด้วยวินัยทหาร ฯ ในส่วนที่ทหาร ต้องอยู่ภายใต้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับวินัยทหารไม่ว่าจะเป็น กฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังบัญญัติถึงสิทธิในการร้องทุกข์ของทหาร ซึ่งมีหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการร้องทุกข์ไว้โดยเฉพาะใน พ.ร.บ.วินัยทหาร ฯ ตั้งแต่ มาตรา ๒๑ ถึง มาตรา ๓๑ ข. ประมวลกฎหมายอาญาทหาร ประมวลกฎหมายอาญาทหาร เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๕ เป็นกฎหมายที่กำหนดลักษณะโทษและความผิดต่าง ๆ ที่เป็นความผิดทางอาญา ในบางลักษณะเพื่อลงโทษแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เหตุผลก็คือ การที่ทหารกระทำผิดกฎหมายอาญาบ้านเมืองนั้น นอกจากจะเป็นความผิดทางอาญาแล้ว ความผิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการละเว้นการอันควรประพฤติของฝ่ายทหารเจือปนด้วย จึง สมควรมีกฎหมายอาญาทหารเพื่อลงโทษทหารให้หนักกว่าผู้กระทำผิดเช่นเดียวกันซึ่งเป็นคน ธรรมดาสามัญ นอกจากนี้ ความผิดทางอาญาในทางทหารถือว่าเป็นความผิดวินัยกึ่งอาญา แผ่นดิน (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๑/๒๔๙๕) สำหรับประมวลกฎหมายอาญาทหารในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร มีหลายกรณีด้วยกัน กล่าวคือ ๑) ให้อำนาจลงทัณฑ์ผู้กระทำผิดวินัยทหาร ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ ผิดที่ใด ประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา ๗ บัญญัติว่า ผู้มีอำนาจบังคับบัญชา ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร มีอำนาจลงทัณฑ์แก่ทหารผู้กระทำผิดวินัยทหารตามกฎหมาย ว่าด้วยวินัยทหาร ไม่ว่าเป็นการกระทำความผิดในหรือนอกราชอาณาจักร ๒) การกระทำผิดกฎหมายอาญาทหารในบางลักษณะให้อำนาจผู้บังคับบัญชา ลงทัณฑ์ทางวินัย แทนการส่งตัวฟ้องศาลได้ การลงทัณฑ์ทางวินัยกับการลงโทษทางอาญานั้น แตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในเรื่อง เจตนารมณ์ของกฎหมาย และวิธีปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด รวมทั้งผลที่มีต่อผู้กระทำผิด แต่ในความผิดตาม กฎหมายอาญาทหารบางลักษณะกฎหมาย ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณา เห็นว่าการกระทำ ผิดดังกล่าวเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ผู้บังคับบัญชามีอำนาจลงทัณฑ์ให้ถือว่า เป็นความผิดต่อวินัยทหาร ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๘ และ ๙ คือ มาตรา ๘ การกระทำความผิดอย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๑ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๙ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗ แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าผู้มีอำนาจบังคับบัญชาตามกฎหมายว่า ด้วยวินัยทหารพิจารณาเห็นว่า เป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ให้ถือว่าเป็นความผิดต่อวินัยทหารและ ให้มีอำนาจลงทัณฑ์ตามมาตรา ๗ เว้นแต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร จะสั่งให้ส่งตัวผู้กระทำความผิด ไปดำเนินคดีในศาลทหาร หรือจะมีการดำเนินคดีนั้นในศาลพลเรือน ตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร จึงให้เป็นไปตามนั้น มาตรา ๙ ความที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘ ให้ใช้ตลอดถึงความผิดลหุโทษและ ความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย ตามปกติแล้ว ความผิดทุกมาตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาทหารทุกมาตรา ถือว่าเป็นความผิดทางอาญา ดังนั้นผู้กระทำความผิดตามกฎหมายนี้ย่อมถูกส่งตัวฟ้องศาล แต่ความในมาตรา ๘ บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า ถ้าเป็นความผิดตามมาตราใดมาตรา หนึ่ง รวม ๒๑ มาตรา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๒๑ นายเรือทำให้เรือชำรุดโดยประมาท มาตรา ๒๓ ทำให้เรือทหารชำรุดหรืออับปางโดยประมาท มาตรา ๒๔ ความผิดที่กระทำต่อเรือที่ใช้เดินในลำน้ำ มาตรา ๒๗ ทหารทำลายหรือละทิ้งทรัพย์ที่ใช้ในการยุทธ มาตรา ๒๘ สบประมาทธง มาตรา ๒๙ ทหารละทิ้งหน้าที่ มาตรา ๓๐ ทหารขัดขืนหรือละเลยไม่กระทำตามคำสั่ง มาตรา ๓๑ ทหารขัดขืนหรือละเลยไม่กระทำตามคำสั่งอย่างองอาจ มาตรา ๓๒ ทหารขัดขืนหรือละเลยไม่กระทำตามข้อบังคับ มาตรา ๓๓ ทหารขัดขืนหรือละเลยไม่กระทำตามข้อบังคับอย่างองอาจ มาตรา ๓๔ ทหารหลับยามหรือเมาสุรา มาตรา ๓๕ ทหารไม่เอาใจใส่หรือประมาทในหน้าที่ มาตรา ๓๖ ทำร้ายทหารยาม มาตรา ๓๗ หมิ่นประมาทหรือขู่เข็ญทหารยามมาตรา ๓๙ ทหารทำร้ายผู้ใหญ่เหนือตน มาตรา ๔๑ ทหารแสดงความอาฆาตหรือหมิ่นประมาทผู้บังคับบัญชาหรือทหารผู้ใหญ่เหนือตน มาตรา ๔๒ ทหารกระทำการกำเริบ มาตรา ๔๓ ทหารกระทำกำเริบโดยมีสาตราวุธ มาตรา ๔๔ ทหารกระทำการกำเริบแล้วเลิกไปโดยดี มาตรา ๔๖ ทหารกระทำผิดฐานหนีราชการ มาตรา ๔๗ ทหารปลอมปนทรัพย์ของทหาร หากผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นว่าการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งใน ๒๑ ลักษณะนี้ เป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ก็ให้ถือว่าเป็นความผิดต่อวินัยทหาร และผู้บังคับบัญชามีอำนาจลงทัณฑ์ทางวินัยได้ แต่มีข้อยกเว้นไว้ว่าในความผิดดังกล่าว ถ้าผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการ จะสั่งให้ส่งตัวผู้กระทำผิดฟ้องศาลก็ต้องเป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ เพราะว่าอำนาจสั่งคดีในทาง ศาลทหารเป็นอำนาจตามกฎหมายของผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการโดยตรง ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาทหารในมาตราอื่นที่มิได้ระบุเป็นข้อยกเว้นไว้ใน มาตรา ๘ ผู้บังคับบัญชา ไม่มีอำนาจพิจารณาว่าเป็นความผิดเล็กน้อยไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ทหารกระทำผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา ๓๘ ฐานทำร้ายผู้บังคับบัญชา กรณีเช่นนี้ ทหารผู้กระทำผิด จะต้องถูกดำเนินคดีในศาลทหาร

ความหมายของวินัยทหาร และแบบธรรมเนียมทหาร

ความหมายของคำว่า “วินัยทหาร” และ “แบบธรรมเนียมทหาร”
“วินัยทหาร” คือ การที่ทหารต้องประพฤติตามแบบธรรมเนียมทหาร (มาตรา ๔) “แบบธรรมเนียมทหาร” ได้แก่บรรดา กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คำแนะนำ คำชี้แจงและสรรพหนังสือต่าง ๆ ที่ผู้บังคับบัญชาได้ออกหรือได้วางไว้เป็นหลักฐานให้ทหารปฏิบัติ ซึ่ง รวมทั้งขนบธรรมเนียม และประเพณีอันดีของทหารทั้งที่เป็นและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ตัวอย่างของการกระทำผิดวินัยทหาร (มาตรา ๕)วินัยทหารเป็นหลักสำคัญที่สุดสำหรับทหาร เพราะฉะนั้นทหารทุกคนจักต้องรักษา โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ ผู้ใดฝ่าฝืน ท่านให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิด ตัวอย่างการกระทำผิดวินัยทหาร มีดังต่อไปนี้ (วินัย 9 ข้อ)๑. ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน๒. ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย๓. ไม่รักษามารยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมของทหาร๔. ก่อให้แตกความสามัคคีในหมู่ทหาร๕. เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ๖. กล่าวคำเท็จ๗. ใช้กิริยาวาจาไม่สมควร หรือประพฤติไม่สมควร๘. ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษ๙. เสพเครื่องดองของเมาจนถึงเสียกิริยา
ผู้ที่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
จากบทนิยามศัพท์ของคำว่าวินัยทหาร คือการที่ทหารต้องประพฤติตามแบบ ธรรมเนียมทหาร โดยมิได้มีคำจำกัดความของคำว่าทหารนั้น หมายถึงทหารประเภทใดบ้าง เนื่องจากทหารมีหลายประเภท โดยพิจารณาจาก พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งแบ่งทหารออกเป็น ๔ ประเภท คือ ก. ทหารกองประจำการ (คือผู้ซึ่งขึ้นทะเบียนกองประจำการ และได้เข้ารับราชการในกองประจำการ จนกว่าจะปลด) ข. ทหารประจำการ (คือทหารซึ่งรับราชการตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ซึ่งมิใช่ทหารกองประจำการ) ค. ทหารกองเกิน (คือผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ ๑๘ ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง ๓๐ ปีบริบูรณ์ ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกิน ตามมาตรา ๑๖ หรือ ผู้ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกิน ตามมาตรา ๑๘ แล้ว) ง. ทหารกองหนุน ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑) ทหารกองหนุนประเภทที่ ๑ (คือทหารที่ปลดกองประจำการโดยรับราชการในกองประจำการจนครบกำหนด หรือทหารกองเกินซึ่งสำเร็จวิชาทหาร ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร และได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ แล้วปลดเป็นกองหนุนตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗) ๒) ทหารกองหนุนประเภทที่ ๒ (คือทหารที่ปลดออกจากกองเกินตามมาตรา ๓๙ หรือปลดจากกองประจำการ ตามมาตรา ๔๐)
เมื่อพิจารณาคุณสมบัติของทหารทั้ง ๔ ประเภท จะเห็นได้ว่าทหารที่ต้องอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ตลอดเวลาที่รับราชการก็คือ ทหารกองประจำการ และทหารประจำการ ส่วนทหารกองเกินและทหารกองหนุนนั้น เป็นทหารที่มิได้รับราชการทหารและมิได้อยู่ประจำหน่วยทหาร จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ยกเว้นในกรณีที่ทหารกองเกิน และทหารกองหนุนถูกเรียกเข้ารับราชการตาม มาตรา ๓๖ กล่าวคือเมื่อถูกเรียกพลเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม และในการระดมพลต้องตกอยู่ในวินัยทหารเหมือนทหารกองประจำการ ดังนั้นในช่วงเวลาที่ถูกเรียกเข้ารับราชการกรณีดังกล่าว ทั้งทหารกองเกินและทหารกองหนุนต้องตกอยู่ในบังคับแห่งกฎหมาย ว่าด้วยวินัยทหาร เช่นเดียวกับทหารกองประจำการใน ฐานะเป็นผู้รับทัณฑ์ สำหรับบุคคลที่มิใช่ทหาร แต่ต้องตกอยู่ในบังคับแห่งวินัยทหาร เพราะมีบทบัญญัติไว้ในตารางเทียบชั้นผู้ลงทัณฑ์ และผู้รับทัณฑ์ ท้าย มาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ.วินัยทหารฯ ในฐานะ เป็นผู้รับทัณฑ์ ได้แก่ ๑. นักเรียนทหารซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร (นักเรียนนายร้อย, นักเรียนนายเรือ, นักเรียนนายเรืออากาศ) ๒. บุคคลผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างเข้ารับการฝึกวิชาทหารโดยคำสั่ง รมว.กห. ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (พ.ร.บ.ส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๐ บัญญัติว่านิสิต หรือนักศึกษาที่เข้ารับการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่ กห. กำหนด ในระหว่างที่ เข้ารับการฝึกวิชาทหารให้ถือว่าเป็นทหารกองประจำการ) ๓. นักเรียนทหารซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นนายทหารประทวน (นักเรียนนายสิบ, นักเรียนจ่า, นักเรียนจ่าอากาศ) ผู้บังคับบัญชา และผู้ใหญ่เหนือตนก. ความหมายของคำว่า “ผู้บังคับบัญชา”“ผู้บังคับบัญชา” หมายความว่าผู้ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ปกครองดูแลทุกข์สุขของทหาร ทั้งรับผิดชอบในความประพฤติ การฝึกสอน อบรม การลงทัณฑ์ ตลอดจนสั่งการแก่ผู้ใต้ บังคับบัญชา และให้ความดีความชอบแก่ทหารได้ ผู้บังคับบัญชาแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑) ผู้บังคับบัญชาโดยตรง มีอยู่คนเดียวคือ ผู้บังคับบัญชาที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดสำหรับดูแลสุขทุกข์ของผู้ใต้บังคับบัญชา เช่นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของพลทหารในหมู่หนึ่ง ๆ ก็คือ ผบ.หมู่นั้น ๆ ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ ผบ.หมู่ คือ ผบ.หมวด และผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ ผบ.หมวด คือ ผบ.ร้อย เป็นต้น ๒) ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น หมายถึงผู้บังคับบัญชาตั้งแต่อันดับสูงถัดขึ้นไปจากผู้บังคับบัญชาโดยตรง เช่น ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นของพลทหารในหมู่หนึ่ง ๆ ได้แก่ ผบ.หมวด, ผบ.ร้อย, ผบ.พัน, ผบ.กรม, ผบ.พล, แม่ทัพ และ รมว.กห. ซึ่งเป็นการเรียงลำดับจากต่ำ ไปหาสูงตามตำแหน่งที่ปรากฏในตารางกำหนดชั้นผู้ลงทัณฑ์ และผู้รับทัณฑ์ท้ายมาตรา ๑๐ ส่วนหน่วยทหารที่มีการจัดหน่วย และเรียกตำแหน่งไม่ตรงตามตำแหน่งดังกล่าว ให้พิจารณาจากอัตราการจัดของหน่วย และสายการบังคับบัญชาของหน่วยนั้น ๆ เป็นหลักในการจัดลำดับ ชั้นของผู้บังคับบัญชา ข. ความหมายของคำว่า “ผู้ใหญ่เหนือตน”“ผู้ใหญ่เหนือตน” หมายความว่า ผู้ที่มียศสูงกว่าหรือมีตำแหน่งสูงกว่า แต่ไม่มีอำนาจบังคับบัญชา เพียงแต่มีสิทธิในการว่ากล่าวตักเตือนผู้น้อยในทางที่ชอบผู้ใหญ่เหนือตน ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในสังกัดเดียวกัน แต่มิใช่ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ที่อยู่ในสังกัดเดียวกันแต่ต่างสายการบังคับบัญชา หรือผู้ที่อยู่ต่างสังกัด ต่างเหล่าทัพ เป็นต้น ข้อสังเกตสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งรอง หรือผู้ช่วยของหัวหน้าส่วนราชการ หรือหน่วยใด ๆ นั้น มักมีผู้เข้าใจไขว้เขวอยู่เสมอ ว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงบ้าง เป็นผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นบ้าง ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะผู้ดำรงตำแหน่งรองหรือผู้ช่วย มีหน้าที่ช่วยเหลือการบริหารงานของหัวหน้าส่วนราชการ หรือ ผบ.หน่วย นั้น ๆ เท่านั้น

ทัณฑ์ทางวินัย มี ๕ สถาน (มาตรา ๘)
ทัณฑ์ที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดต่อวินัยทหาร ให้มีกำหนดเป็น ๕ สถาน โดยเรียงจากเบา ไปหาหนัก คือ ก. ภาคทัณฑ์ ข. ทัณฑกรรม ค. กัก ง. ขัง จ. จำขัง
ภาคทัณฑ์ คือผู้กระทำผิดมีความผิดอันควรต้องรับทัณฑ์สถานหนึ่งสถานใด ดังกล่าวมาแล้ว แต่มีเหตุอันควรปรานี จึงเป็นแค่แสดงความผิดของผู้นั้นให้ปรากฏ หรือให้ทำทัณฑ์บนไว้ (สำหรับ “เหตุอันควรปรานี” ควรใช้เหตุที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ เป็นแนวทางประกอบดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา)ทัณฑกรรม คือการให้กระทำการสุขา การโยธา ฯลฯ เพิ่มจากหน้าที่ประจำซึ่งตนจะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว หรือปรับให้อยู่เวรยามนอกจากหน้าที่ประจำ (โดยมีหลักเกณฑ์ในคำอธิบายท้ายตารางกำหนดทัณฑ์ว่า ทัณฑกรรมที่กำหนดไว้เป็นวัน ๆ หมายความว่า ทำทัณฑกรรมทุก ๆ วัน จนกว่าจะครบกำหนดในวันหนึ่งนั้น ผู้ที่จะสั่งลงทัณฑ์จะกำหนดทัณฑกรรมได้ไม่เกินกว่าวันละ ๖ ชั่วโมง แต่ถ้าให้อยู่เวรยาม ในวันหนึ่งไม่เกินกำหนดเวลาอยู่เวรยามตามปกติ ผู้ใดจะสั่งลงทัณฑกรรม ให้กำหนดให้ชัดเจนว่า ทัณฑกรรมกี่วัน และวันละเท่าใด สำหรับผู้กระทำผิดวินัยและเป็นผู้รับทัณฑ์สถานนี้ได้คือ ผู้รับทัณฑ์ชั้น ซ และ ฌ ได้แก่ นักเรียนทหารและพลทหาร)กัก คือ กักตัวไว้ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งตามแต่จะกำหนดให้ ขัง คือ ขังในที่ควบคุมแต่เฉพาะคนเดียวหรือรวมกันหลายคนแล้วแต่จะได้มีคำสั่ง จำขัง คือ ขังโดยส่งไปฝากให้อยู่ในความควบคุมของ
เรือนจำทหาร
ผู้มีอำนาจลงทัณฑ์ทางวินัย (มาตรา ๑๐)
ผู้มีอำนาจลงทัณฑ์แก่ผู้กระทำผิดทางวินัยมี ๒ ประเภท คือ ก. ผู้บังคับบัญชา (โดยตรงและตามลำดับชั้น) หรือ ข. ผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจให้บังคับบัญชาตามที่ กห. ส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อ กห., ทบ., ทร., หรือ ทอ. กำหนด หลักสำคัญก็คือ ผู้มีอำนาจลงทัณฑ์ได้นั้น จะต้องเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาเสียก่อน เป็นเบื้องแรก ในกรณีที่ผู้สั่งลงทัณฑ์คือ ผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงหรือ ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น มักไม่มีปัญหาในทางปฏิบัติเพราะเป็นการสั่งโดยผู้มีอำนาจตาม กฎหมายในการบังคับบัญชา ส่วนผู้ซึ่งได้รับมอบ อำนาจบังคับบัญชา นั้น โดยปกติจะมิใช่ผู้บังคับบัญชา ดังนั้น การมอบอำนาจแก ่ผู้ซึ่งมิใช่ผู้บังคับบัญชาให้มีอำนาจเสมือนเป็นผู้บังคับบัญชาและมีอำนาจลงทัณฑ์ ได้นั้น จะต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น เพราะหากการมอบอำนาจไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบ ด้วยกฎหมายเสียแล้ว ก็เท่ากับมิได้มีการมอบอำนาจ การกระทำการใด ๆ หรือการสั่งการย่อมเป็นการ กระทำที่ปราศจากอำนาจและไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย สำหรับการมอบอำนาจที่เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กฎหมายกำหนด แยกพิจารณาได้ ดังนี้ ก. การมอบอำนาจตามที่ กห.กำหนด ได้แก่ ๑) ข้อบังคับ กห.ว่าด้วยการสั่งการและประชาสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๗ (ผนวก ก.) เป็น ข้อบังคับที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบอำนาจ ๓ กรณี คือ กรณีตำแหน่งว่างลงโดยยังไม่มีการ แต่งตั้งผู้ใดดำรงตำแหน่งให้แต่งตั้งผู้รักษาราชการชั่วคราว, กรณีผู้ดำรงตำแหน่งไม่สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้เป็นครั้งคราว ให้แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนชั่วคราวและกรณีตำแหน่งว่างลงหรือผู้ดำรง ตำแหน่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นครั้งคราวแล้วยังมิได้แต่งตั่งข้าราชการผู้ใดรักษาราชการหรือ รักษาราชการแทน ให้ รอง, ผู้ช่วย หรือ เสนาธิการ ทำการแทน เป็นครั้งคราว ทั้งนี้ ผู้รับมอบอำนาจ ดังกล่าวย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามตำแหน่งที่ตนรักษาราชการ รักษาราชการแทน หรือทำการแทนนั้น ๆ ซึ่งหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามข้อบังคับ กห. ฉบับนี้เป็นหลักเกณฑ์โดยทั่ว ๆ ไป สำหรับทุกหน่วยงานใน กห.ที่ต้องยึดถือปฏิบัติ ๒) ข้อบังคับ กห.ว่าด้วยการศึกษาในต่างประเทศ พ.ศ.๒๕๒๗ เป็นข้อบังคับซึ่ง กำหนดหลักเกณฑ์ในการปกครองบังคับบัญชาระหว่างศึกษาในต่างประเทศ กล่าวคือ ข้าราชการ ทหารที่ไปศึกษาในต่างประเทศ ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ซึ่งต้องอยู่ในระเบียบวินัย และ ปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมทหารทุกประการ และให้อยู่ในความปกครองบังคับบัญชาของผู้ช่วยทูต ฝ่ายทหารประจำประเทศนั้น หรือผู้ที่ กห.มอบอำนาจให้ปกครองบังคับบัญชาตั้งแต่วันรายงานตัว เมื่อเดินทางไปถึงจนกระทั่งเดินทางกลับ ๓) ระเบียบ กห.ว่าด้วยโรงเรียนเหล่าทหารพระธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๒๗ ซึ่งมี หลักเกณฑ์คือ โรงเรียนเหล่าทหารพระธรรมนูญ (รร.ธน.) มีผู้บัญชาการโรงเรียนเหล่าทหาร พระธรรมนูญ (ผบ.รร.ธน.) เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ โดยเจ้ากรมพระธรรมนูญ (จก.ธน.) เป็น ผู้บัญชาการโรงเรียนเหล่าทหารพระธรรมนูญโดยตำแหน่ง สำหรับผู้ที่เข้าศึกษาอบรมใน รร.ธน. ในระหว่างการศึกษาอบรม ผู้เข้าศึกษาอบรมคงอยู่ในสังกัดเดิม แต่ให้อยู่ในปกครองบังคับบัญชา ของ ผบ.รร.ธน.ข. การมอบอำนาจตามที่กองทัพบกกำหนด คือ การมอบอำนาจตามระเบียบ ทบ. ว่าด้วยการมอบอำนาจ บังคับบัญชา พ.ศ.๒๕๑๓ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการมอบอำนาจโดยสรุปดังนี้ ๑) การมอบอำนาจบังคับบัญชา กระทำได้ ๓ วิธี คือ กระทำด้วยหนังสือ กระทำ ด้วยวาจา หรือกระทำด้วยเครื่องมือสื่อสาร ๒) กรณีที่มอบอำนาจบังคับบัญชา มีดังนี้ ก) ไปปฏิบัติราชการ ข) ไปร่วมปฏิบัติราชการ ค) ไปช่วยราชการ ง) ไปศึกษาในประเทศหรือต่างประเทศ จ) ไปฝึกอบรมในสถานฝึกอบรมของทหาร ฉ) ไปป่วยในโรงพยาบาลทหาร ช) ไปพักในสถานพักฟื้นของทหาร ซ) กรณีอื่น ๆ ๓) การมอบอำนาจบังคับบัญชาบุคคล หรือส่วนราชการใดที่สังกัด ทบ. ให้แก่ บุคคล หรือส่วนราชการนอก ทบ. จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ๔) ผู้รับมอบอำนาจบังคับบัญชา มีอำนาจสั่งการตามข้อบังคับ กห. ว่าด้วยการ สั่งการและประชาสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๗ ๕) การมอบอำนาจบังคับบัญชา ให้ผู้มอบอำนาจระบุให้ผู้รับมอบอำนาจ มีอำนาจ สั่งการเกี่ยวกับความชอบ การลงทัณฑ์ การลา หรือเรื่องอื่น ๆ ได้ตามที่เห็นสมควร ๖) การมอบอำนาจบังคับบัญชา ให้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแห่งการ มอบอำนาจไว้ด้วย ค. การมอบอำนาจตามที่กองทัพเรือกำหนด คือ การมอบอำนาจตามคำสั่ง ทร. ที่ ๓๑๑/๒๕๑๓ เรื่อง มอบอำนาจบังคับบัญชา ลง ๒๙ ต.ค.๑๓ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการมอบ อำนาจโดยสรุปดังนี้ ๑) บุคคลที่ผู้บังคับบัญชาที่เป็น หน.ส่วนราชการขึ้นตรง ทร.ขึ้นไป สั่งให้ไปช่วย ปฏิบัติราชการ รับการฝึก หรือศึกษาอบรมในส่วนราชการอื่นใน ทร. ให้ผู้นั้นอยู่ในบังคับบัญชาของ ผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่ตนไปช่วยปฏิบัติราชการ, รับการฝึก หรือศึกษา ตลอดระยะเวลาที่ไป ช่วยปฏิบัติราชการ รับการฝึก หรือศึกษาอบรม ๒) สำหรับบุคคลที่ถูกสั่งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการต่างส่วนราชการขึ้นตรง ทร. หาก มีความจำเป็นทางราชการ หน.ส่วนราชการขึ้นตรง ทร. ที่ผู้นั้นไปช่วยปฏิบัติราชการจะสั่งให้ผู้นั้นไป ขึ้นอำนาจบังคับัญชาของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งชั้นรองของตน ซึ่งมียศอาวุโสสูงกว่าผู้ที่ไปช่วยปฏิบัติ ราชการนั้นก็ได้ ๓) อำนาจการบังคับบัญชา ตาม ก. และ ข. หมายถึง อำนาจสั่งการในเรื่องเกี่ยวกับ หน้าที่ราชการที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยปฏิบัติราชการ, รับการฝึก หรือศึกษาอบรมตลอดจนอำนาจใน การลงทัณฑ์ การอนุญาตลากิจ และลาป่วย ง. การมอบอำนาจตามที่กองทัพอากาศกำหนด คือ การมอบอำนาจตามระเบียบ ทอ. ว่าด้วยการปกครองบังคับบัญชา พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการมอบอำนาจโดยสรุปดังนี้ ๑) “การปกครองบังคับบัญชา” หมายถึง การที่ผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจในการ ปกครองดูและหน่วยทหาร และหรือกำลังพลที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนภายในขอบเขตของ กฎหมาย และแบบธรรมเนียมที่กำหนดไว้ รวมทั้งอำนาจในการสั่งลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยด้วย ๒) หน่วยแยกหรือหน่วยสมทบที่ไปอยู่ในเขตพื้นที่ของหน่วยขึ้นตรง ทอ. หรือ หน่วยแยกที่ตั้ง ณ ต่างจังหวัด ให้อยู่ในการบังคับบัญชาของหน่วยขึ้นตรง ทอ. หรือหน่วยแยกที่เป็น เจ้าของเขตพื้นที่นั้น ๓) กำลังพลที่ไปปฏิบัติราชการหรือช่วยราชการในหน่วยขึ้นตรง ทอ. หรือหน่วยแยก ให้อยู่ในปกครองบังคับบัญชาของหน่วยนั้น ๔) กำลังพลที่เข้ารับการศึกษาในสถานศึกษาของ ทอ. ให้อยู่ในการปกครองบังคับ บัญชาของสถานศึกษานั้น ๕) หน่วยขึ้นตรง ทอ. หรือหน่วยแยก หรือสถานศึกษาที่มีอำนาจปกครองบังคับบัญชา หากสั่งการในด้านการปกครองเกี่ยวกับการลงโทษ หรือลงทัณฑ์ทางวินัยแก่กำลังพลที่ไปปฏิบัติราชการ หรือช่วยราชการ หรือเข้ารับการศึกษาต้องแจ้งให้ต้นสังกัดผู้ต้องรับโทษหรือรับทัณฑ์นั้น ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ข้อสังเกตแม้ว่าแต่ละหน่วยจะมีหลักเกณฑ์ในการมอบอำนาจแตกต่างกันไปบ้างก็เป็นเพียง การแตกต่างในรายละเอียดเท่านั้น ส่วนในหลักการและความมุ่งหมายคงเป็นไปในแนวเดียวกันคือ เพื่อให้การมอบอำนาจบังคับบัญชาเป็นไป ตามที่กฎหมายบัญญัติและเพื่อให้ผู้ได้รับมอบอำนาจ สามารถใช้อำนาจบังคับบัญชาได้ เช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชานั่นเอง
เกณฑ์เทียบชั้นผู้ลงทัณฑ์และผู้รับทัณฑ์
________________________________________
การที่ผู้บังคับบัญชาชั้นใดจะมีอำนาจลงทัณฑ์ชั้นใด และผู้อยู่ในบังคับบัญชาชั้นใดจะเป็น ผู้รับทัณฑ์ชั้นใดนั้น ต้องถือตามที่กำหนดไว้ในตารางเทียบชั้นตาม มาตรา ๑๐ วรรคท้าย ดังนี้
ตารางเกณฑ์เทียบผู้ลงทัณฑ์และผู้รับทัณฑ์
ตำแหน่งชั้น เป็นผู้ลงทัณฑ์
ชั้น เป็นผู้รับทัณฑ์
ชั้น
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ๑
๒. แม่ทัพ ๒
๓. ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกองเรือ ผู้บัญชาการกองพลบิน ๓
๔. ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับหมวดเรือ ผู้บังคับกองบิน ๔ ก
๕. ผู้บังคับหมู่เรือชั้น ๑ ๕ ข
๖. ผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับหมู่เรือชั้น ๒ ผู้บังคับการเรือชั้น ๑ ผู้บังคับฝูงบิน ๖ ค
๗. ผู้บังคับหมู่เรือชั้น ๓ ผู้บังคับการเรือชั้น ๒ ต้นเรือชั้น ๑ ผู้บังคับหมวดบินชั้น ๑ ๗ ง
๘. ผู้บังคับกองร้อย ผู้บังคับการเรือชั้น ๓ ต้นเรือชั้น ๒ นายกราบเรือ ผู้บังคับหมวดบินชั้น ๒ ๘ จ
๙. ผู้บังคับหมวด ต้นเรือชั้น ๓ ผู้บังคับหมวดบินชั้น ๓ ๙ ฉ
๑๐. ผู้บังคับหมู่ นายตอน - ช
๑๑. นักเรียนทหารซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร / บุคคลผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างเข้ารับการฝึกวิชาทหารโดยคำสั่ง รมว.กห.ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร - ซ
๑๒. นักเรียนทหารซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นนายทหารประทวน ลูกแถว - ฌ
เพื่อสะดวกแก่การพิจารณา ขอแยกเกณฑ์การเทียบชั้นตามตารางดังกล่าวให้ชัดเจน โดยแยกให้เห็นว่า ผู้ลงทัณฑ์ ได้แก่ ผู้ดำรงในตำแหน่งใดและสามารถลงทัณฑ์ในชั้นใด ส่วนผู้รับทัณฑ์ ได้แก่ผู้ดำรงในตำแหน่งใด และจะต้องรับทัณฑ์ในชั้นใด กล่าวคือ ผลจากการกำหนดชั้นของผู้มีอำนาจลงทัณฑ์ (กำหนดเป็นตัวเลข) และการกำหนดชั้นผู้รับทัณฑ์ (กำหนดเป็นตัวอักษร) ตามตารางดังกล่าวสรุปได้ว่า ผู้ที่มีอำนาจสั่งลงทัณฑ์ทหารได้นั้นคือ ผู้บังคับบัญชา ตั้งแต่ระดับ รมว.กห. ลงมาจนถึง ผบ.หมวด (ลำดับ ๑-๙) เท่านั้น ส่วนลำดับ ๑๐ คือ ผบ.หมู่ แม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาทหารระดับหมู่ ก็ไม่อำนาจสั่งลงทัณฑ์ เพราะกฎหมายมิได้ระบุให้อำนาจไว้ ส่วนผู้ต้องรับทัณฑ์ทางวินัย กฎหมายระบุให้เป็นผู้รับทัณฑ์ได้คือ ผู้มีตำแหน่งตั้งแต่ ผบ.กรม ลงมาจนถึงลูกแถว (ชั้น ก.–ชั้น ฌ.) เท่านั้น จึงไม่อาจลงทัณฑ์ ทางวินัยแก่ผู้มีตำแหน่งตั้งแต่ ผบ.พล ขึ้นไปได้ เพราะกฎหมายมิได้ระบุให้เป็นผู้รับทัณฑ์
สำหรับตารางเกณฑ์เทียบชั้นผู้ลงทัณฑ์และผู้รับทัณฑ์ จะต้องใช้ประกอบกับตารางกำหนดทัณฑ์ ซึ่งอยู่ท้ายกฎหมายฉบับนี้ ทั้งนี้เพราะว่าการที่ผู้บังคับบัญชาชั้นใด มีอำนาจสั่งลง ทัณฑ์แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยใช้ทัณฑ์สถานใดและมีกำหนดเท่าใดนั้น จะต้องเป็นไปตามตาราง กำหนดทัณฑ์ระบุไว้เท่านั้น ดังนั้นในการลงทัณฑ์ทางวินัย จะต้องใช้ตารางเกณฑ์เทียบชั้นผู้ลงทัณฑ์ และผู้รับทัณฑ์ท้าย มาตรา ๑๐ ประกอบกับตารางกำหนดทัณฑ์ท้ายกฎหมายฉบับนี้เสมอ
การเทียบตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์และผู้รับทัณฑ์ (มาตรา ๑๑)
ในการลงทัณฑ์ทางวินัยนั้น ถ้าผู้สั่งลงทัณฑ์หรือผู้ต้องรับทัณฑ์นั้น มีตำแหน่งตรง ตามที่กำหนดไว้ในตารางเทียบชั้นตามที่ปรากฏใน มาตรา ๑๐ วรรคท้ายแล้ว ย่อมไม่มีปัญหา ในทางปฏิบัติ เพียงแต่ตรวจสอบตำแหน่งของผู้ลงทัณฑ์ และผู้รับทัณฑ์ว่าตรงตาม ตำแหน่งใด ก็สามารถดำเนินการได้ตามตารางกำหนดทัณฑ์ ในส่วนที่มีปัญหาก็คือกรณีที่ ผู้สั่งลงทัณฑ์หรือ ผู้รับทัณฑ์มีตำแหน่งไม่ตรงตามตารางดังกล่าว เนื่องจากมีการ จัดหน่วยที่แตกต่างกัน ในกรณี เช่นนี้ ให้ถือตามที่ได้เทียบตำแหน่งไว้ในข้อบังคับ กห.ว่าด้วยตำแหน่ง และการเทียบตำแหน่ง บังคับบัญชาข้าราชการกลาโหม พ.ศ.๒๕๐๑ (ผนวก ข.)
ข้อพึงระลึกในการลงทัณฑ์
การลงทัณฑ์ทางวินัยเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย และเป็นไปในทางให้โทษแต่ผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นก่อนจะลงทัณฑ์ผู้ใด ผู้บังคับบัญชาจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนแน่นอน ว่าผู้รับทัณฑ์มีความผิดจริง โดยจะต้องชี้แจงให้ผู้กระทำผิดทราบด้วยว่าได้กระทำผิดในข้อใด เพราะเหตุใดแล้วจึงสั่งลงทัณฑ์ ทั้งนี้ ต้องระวังอย่าให้ลงทัณฑ์โดยโทสะจริต หรือลงทัณฑ์แก่ผู้ไม่มีความผิดโดยชัดเจนเป็นอันขาด (มาตรา ๑๓) สำหรับทัณฑ์ที่จะลงแก่ผู้กระทำผิด ต้องเป็นทัณฑ์สถานใดสถานหนึ่งในทัณฑ์ ๕ สถานเท่านั้น ห้ามมิให้คิดทัณฑ์ขึ้นใหม่ หรือใช้วิธีลงทัณฑ์อย่างอื่นนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด (มาตรา ๙ วรรคท้าย) ในการสั่งลงทัณฑ์แต่ละสถานนั้น ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาแต่ละชั้นมีอำนาจใน การสั่งลงทัณฑ์แต่ละสถาน เช่น กัก ขัง หรือจำขัง มีกำหนดลดหลั่นกันไป โดยยึดถือตำแหน่งของผู้รับทัณฑ์มาประกอบ ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามตารางกำหนดทัณฑ์ท้ายกฎหมายนี้ (มาตรา ๑๐ วรรคสอง) อีกทั้งยังต้องยึดถือตารางเกณฑ์เทียบชั้นผู้ลงทัณฑ์ และผู้รับทัณฑ์ท้ายมาตรา ๑๐ เป็นหลักพิจารณาว่าผู้มีอำนาจบังคับบัญชาในตำแหน่งใด ที่เป็นผู้ลงทัณฑ์ชั้นใดบ้าง และผู้อยู่ในบังคับบัญชาตำแหน่งใด สามารถเป็นผู้รับทัณฑ์ชั้นใดบ้าง (มาตรา ๑๐ วรรคสาม) ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับว่าผู้บังคับบัญชาแต่ละลำดับชั้น มีอำนาจสั่งลงทัณฑ์ได้เฉพาะที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นการจำกัดทั้งกำหนดเวลมาตรา ๕ (๑) ดื้อ ขัดขืน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาในการลงทัณฑ์ และจำกัดทั้งวิธีการในการลงทัณฑ์ไว้ โดยชัดเจน ว่าจะต้องอยู่ในอำนาจของตนเท่านั้น

ข้อพิจารณาเกี่ยวกับความผิดบางลักษณะที่มีองค์ประกอบคล้ายกัน : ฐานขัดคำสั่ง
พ.ร.บ. วินัยทหาร ป.อาญาทหาร
มาตรา ๕ (๑) ดื้อ ขัดขืน หรือละเลย ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา มาตรา ๓๐ ผู้ใดเป็นทหาร และมันขัดขืน หรือละเลยมิกระทำตามคำสั่ง
ข้อพิจารณาเกี่ยวกับความผิดบางลักษณะที่มีองค์ประกอบคล้ายกัน : ฐานละทิ้งหน้าที่
มาตรา ๕ (๕) เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ
พ.ร.บ. วินัยทหาร ป.อาญาทหาร
มาตรา ๕ (๕) เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ มาตรา ๒๙ ผู้ใดเป็นทหาร ท่านใช้ให้อยู่ยามรักษาการณ์ก็ดี ท่านมอบหมายให้กระทำตามบังคับ หรือคำสั่งอย่างใด ๆ ก็ดี และถ้ามันละทิ้งหน้าที่นั้นเสีย
เมื่อเปรียบเทียบลักษณะความผิดตามกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับ ดังกล่าวมีข้อพิจารณา ดังนี้
ก. ความผิดฐานขัดคำสั่งที่ถือว่าเป็นความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญาทหารนั้น ตามมาตรา ๔ บัญญัตินิยามศัพท์ คำว่า “คำสั่ง” หมายความว่า บรรดาข้อความที่ซึ่งผู้บังคับ บัญชาทหารผู้ถืออำนาจอันสมควร เป็นผู้สั่งไปโดยสมควรแก่กาลสมัย และชอบด้วยพระราช กำหนดกฎหมาย คำสั่งเช่นว่านี้ท่านว่า เมื่อผู้ได้รับคำสั่งนั้นได้กระทำตามแล้ว ก็เป็นอันหมด เขตของการที่สั่งนั้น จากบทนิยามศัพท์ดังกล่าว “คำสั่ง” ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร มีองค์ประกอบ ดังนี้
๑) เป็นคำสั่งที่ผู้บังคับบัญชา เป็นผู้สั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย
๒) คำสั่งเช่นว่านี้ ถ้าได้กระทำตามแล้วก็เป็นอันหมดเขตของการสั่งนั้น ซึ่งหมายความว่า เป็นคำสั่งที่มีระยะเวลาเริ่มต้น และเวลาสิ้นสุดมิใช่คำสั่งที่มีลักษณะต้องปฏิบัติตลอดไป

ดังนั้นถ้าคำสั่งใดที่ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้สั่ง และคำสั่งมีลักษณะดังกล่าวข้างต้น ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับทราบคำสั่งแล้วขัดขืนละเลยไม่กระทำตามคำสั่ง ก็เป็นความผิดต่อ ประมวลกฎหมายอาญาทหาร ซึ่งเป็นคำสั่งที่มีลักษณะเจาะจงเช่น สั่งให้ใคร ทำอะไร หรือปฏิบัติอะไร โดยคำสั่งดังกล่าวต้องมีการปฏิบัติ และมีการสิ้นสุด เมื่อผู้ได้รับคำสั่งได้ปฏิบัติการตามคำสั่งนั้นแล้ว ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับคำสั่ง แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ซึ่งขัดขืนละเลยไม่ปฏิบัติตาม ก็ไม่มีความผิดฐานขัดคำสั่งตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาสั่งห้ามมิให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กระทำในสิ่งที่กฎหมายบัญญัติห้ามไว้แล้ว ถ้ามีการฝ่าฝืนก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานขัดคำสั่ง ตามประมวล กฎหมายอาญาทหาร เช่น
คำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งห้ามมิให้ยิงปืนในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร การที่จำเลยฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร เพราะถึงแม้ผู้บังคับบัญชามิได้มีคำสั่ง จำเลยก็มีหน้าที่ต้องงดเว้น ไม่ฝ่าฝืนกฎหมายในเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าคำสั่งนี้ได้สั่งเพื่อประโยชน์ในราชการตามหน้าที่ของผู้สั่ง แต่อย่างใด คำสั่งนี้จึงไม่เป็นคำสั่งตามความหมายของมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายอาญาทหาร ดังนั้น ความผิดฐานขัดคำสั่งในกรณีนี้ จึงต้องตีความคำสั่ง “คำสั่ง” โดยเคร่งครัดตามบทนิยามศัพท์ เพราะเป็นความผิด ทางอาญาข) ส่วนความผิดฐานขัดคำสั่งที่ถือว่าเป็นความผิดต่อวินัยทหาร ไม่มีบทนิยามศัพท์อธิบายคำว่า "คำสั่ง" ไว้ชัดเจนเช่น ความผิดทางอาญา ดังนั้นหากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้เป็นการสั่งการแก่ทหารทั่วไป ซึ่งคำสั่งนั้นมิได้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงต่อทหารผู้ใดผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นคำสั่งที่ใช้ได้ตลอดไป โดยไม่มีระยะเวลาสิ้นสุด ยกเว้นจะมีการยกเลิก เช่นนี้ ทหารที่ขัดขืนละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในลักษณะหลังนี้ถือว่าเป็น ความผิดต่อวินัยทหาร แต่ไม่เป็นความผิดอาญา เช่น คำสั่ง กห. ที่ ๑๔๔/๓๕ เรื่อง จำกัด การเสพสุราของข้าราชการ ลง ๑๗ ก.พ.๓๕ (ผนวก ฎ.) ซึ่งใช้บังคับแก่ข้าราชการทหาร และลูกจ้าง โดยมีคำสั่งเกี่ยวกับการจำกัดการเสพสุรา เพื่อป้องกันมิให้ผู้ที่นิยมการเสพสุราไปก่อคดีอาญา อันนำมาซึ่งความเสื่อมเกียรติแก่ทางราชการค) สำหรับความผิดฐานละทิ้งหน้าที่ในส่วนของกฎหมายวินัยทหารบัญญัติว่า ละทิ้งต่อหน้าที่ราชการ ซึ่งหมายถึงหน้าที่ราชการที่ได้รับมอบ อันเป็นความหมายที่กล่าวไว้กว้าง ๆ แต่ในส่วนของกฎหมายอาญาทหารบัญญัติว่า ทหารซึ่งเป็นยามรักษาการณ์หรือ ได้รับมอบหมายให้กระทำตามบังคับหรือคำสั่งอย่างใด ๆ ถ้าละทิ้งหน้าที่นั้นเสีย ดังนั้น คำว่าละทิ้งหน้าที่ในความหมายของกฎหมายอาญาทหาร จึงหมายรวมถึงหน้าที่ยามรักษาการณ์ หน้าที่ที่ได้รับมอบให้ทำตามบังคับหรือทำตามคำสั่งอย่างใด ๆ แล้วได้ละทิ้งหน้าที่ไป อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงถือเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญาทหาร เมื่อพิจารณาถึงลักษณะความผิดทางอาญาซึ่งบัญญัติไว้เฉพาะส่วน การละทิ้งหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ได้กล่าวไว้กว้าง ๆ โดยมิได้เจาะจงแต่ก็มีข้อความคล้ายคลึงกับความผิด ทางอาญา การที่จะพิจารณาว่าละทิ้งหน้าที่อย่างใดเป็นความผิดทางวินัย และละทิ้งหน้าที่อย่างใดเป็นความผิด ทางอาญา ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่าหน้าที่นั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดหรือไม่ ประการต่อมา ผลการละทิ้งหน้าที่ก่อให้เกิดผลเสียหายเล็กน้อยหรือเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทางราชการ ซึ่งถ้าเป็นหน้าที่ที่ไม่สำคัญ และการละทิ้งหน้าที่ไปไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายหรือเสียหายเพียงเล็กน้อย ก็เป็นเพียงความผิดต่อวินัยทหาร แต่ถ้าหากเป็นหน้าที่ที่มีความจำเป็นและสำคัญ ทั้งผลของการละทิ้งหน้าที่ไปนั้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทางราชการแล้ว ย่อมเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญาทหาร
การกระทำอย่างไรที่ถือว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ จะต้องพิจารณาถึง “การกระทำผิด” เป็นอันดับแรก และพิจารณาถึง “ผลที่เกิดขึ้น” จากการกระทำนั้นเป็นลำดับต่อมา ถ้าการกระทำผิดเป็นเรื่องสำคัญ และผลที่เกิดขึ้น จากการกระทำนั้นส่งผลเสียหายต่อทางราชการอย่างร้ายแรงเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ ผู้บังคับบัญชาไม่อาจใช้อำนาจตาม มาตรา ๘ มาลงทัณฑ์ทางวินัยแก่ผู้กระทำผิดได้ จะ ต้องดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดในทางอาญาต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญาทหาร มาตรา ๒๑ ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นนายเรือ ท่านใช้ให้ควบคุมเรือของทหาร และกระทำการ หรือปล่อยให้เรือชำรุด หรืออับปางด้วยความประมาท ให้จำคุกไม่เกิน ๓ ปี” ซึ่งการ กระทำตามมาตรานี้ก็คือ นายเรือควบคุมเรือของทหาร โดยประมาท แล้วกระทำหรือปล่อยให้เรือชำรุด ผลของการกระทำคือถ้าเรือนั้นชำรุดเสียหายไม่มาก ก็ย่อมพิจารณาได้ว่าเป็นการ เล็กน้อยไม่สำคัญ แต่ถ้าการควบคุมเรือโดยประมาทนั้น เป็นผลให้เรืออับปาง เสียหายทั้งลำ เกิดผลเสียหายนับล้านบาท เช่นนี้ย่อมพิจารณาได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ และไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย [1] เจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาในการพิจารณาว่าความผิดอาญา บางลักษณะเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ก็ให้ลงทัณฑ์ได้นั้น มิได้เป็นการช่วยเหลือผู้กระทำผิด แต่เป็นการช่วยเหลือในด้านการปกครองบังคับบัญชาทหาร อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจของ ผู้บังคับบัญชาตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา ๘ มีข้อบัญญัติยกเว้นไว้ว่า ถ้าผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการสั่งให้ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีในศาลทหารหรือ ในศาลพลเรือนตาม กฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร ก็ให้เป็นไปตามนั้น เพราะผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการคือ ผู้บังคับบัญชาทหารซึ่งได้รับมอบพระราชอำนาจจากพระมหากษัตริย์ ให้เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาล ทหารชั้นต้น [2] อันได้แก่ ก. ผบ.จทบ. เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาล จทบ. ข. ผบ.มทบ. เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาล มทบ. ค. ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาหน่วยทหาร เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาล ประจำหน่วยทหาร ง. รมว.กห. เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการ ศท.ก.ท. [3] จากข้อยกเว้นดังกล่าวจะเห็นว่าการที่จะชี้ขาดว่า การกระทำผิดอย่างใดเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ หรือไม่หรือควรส่งคดีฟ้องศาลนั้น กฎหมายมุ่งหมายให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการ เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ดังนั้นในทางปฏิบัติ จึงเป็นการจำเป็นที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องส่งสำนวนการสอบสวน ไปยังอัยการทหาร เพื่อนำเสนอผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการเป็นผู้วินิจฉัย โดยผู้บังคับบัญชาหาควรวินิจฉัยสั่งการเสียเองไม่ การที่ผู้บังคับบัญชาสั่งลงทัณฑ์ทางวินัยแก่ผู้กระทำผิดในลักษณะตามมาตรา ๘ ไปก่อนนั้น หาได้ตัดอำนาจผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการ ในการที่จะส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดียังศาลทหารได้ เพราะความผิด ดังกล่าวเป็นความผิดอาญา และผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการ เป็นผู้ได้รับมอบพระราชอำนาจในด้านศาลทหารโดยเฉพาะ ยกตัวอย่าง เช่น จำเลยมีหน้าที่เป็นนายสิบเวรกองร้อย ในระยะเวลาอันเป็นหน้าที่ราชการของจำเลย จำเลยได้ละทิ้งหน้าที่ออกจากกองร้อยไป ระหว่างจำเลยละทิ้งหน้าที่ไปได้มีคนร้ายลักเอาปืนกลเบาไป ๕ กระบอก ผู้บังคับกองร้อย และผู้บังคับกองพัน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานผิดวินัย จึงลงทัณฑ์ขังจำเลย ๑๕ วัน จำเลยต้องขังครบ ๑๕ วันแล้ว เจ้าหน้าที่กองร้อยรับตัวออกจากเรือนจำ ครั้นต่อมาได้ทำการสอบสวนและฟ้องจำเลยเป็นคดีขึ้น ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า ความผิดของจำเลยต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา ๒๙ (๓) การที่จำเลยเป็นสิบเวรกองร้อย แล้วละทิ้งหน้าที่ไป ในระหว่างจำเลย ละทิ้งหน้าที่ไปได้มีคนร้ายลักเอาปืนกลเบาไปถึง ๕ กระบอก ย่อมไม่ใช่เป็นการเล็กน้อย ไม่สำคัญ เพราะปืนกลเบาถึง ๕ กระบอก มีราคาสูง ปืนเป็นอาวุธสำคัญของทหาร คำสั่งลงทัณฑ์นั้น จะอนุโลมเป็นการเปรียบเทียบคดีไม่ได้ และไม่ตัดอำนาจผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการที่สั่งให้ฟ้องจำเลย [4] คำว่า “ให้ส่งตัวผู้กระทำความผิดไปดำเนินคดีในศาลทหาร หรือจะมีการดำเนินคดีนั้น ในศาลพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร” นั้น หมายความว่าเป็นคดีที่ต้องดำเนินคดีในศาลทหาร หรือศาลพลเรือนที่ทำหน้าที่เป็นศาลทหาร ในกรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก และผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก ได้มีประกาศให้ศาลพลเรือนที่อยู่ในพื้นที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก ทำหน้าที่เป็นศาลทหาร สำหรับพิจารณาความผิดตามที่ระบุท้ายประกาศเท่านั้น การใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชาในกรณีนี้ จึงไม่อาจใช้กับความผิดที่ต้องขึ้นศาลพลเรือน
กรณีที่เป็นความผิดลหุโทษและความผิดที่เปรียบเทียบได้ ความในประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา ๙ หมายความว่า หลักเกณฑ์ ที่ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่า การกระทำผิดเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ก็ให้ลงทัณฑ์ทางวินัยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘ นั้น ให้นำไปใช้ในกรณีที่ทหารกระทำ ความผิดลหุโทษ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอื่นที่มีระวางโทษ ไม่เกินความผิดลหุโทษ ตลอดจนความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย ซึ่งแยกพิจารณาได้ ดังนี้ ความผิดลหุโทษ คือ ความผิดที่ระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ เดือน หรือปรับ ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๐๒) ซึ่งได้แก่ ความผิดลหุโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ภาค ๓ ตั้งแต่ มาตรา ๓๖๗ – ๓๙๘ รวม ๓๒ มาตรา ซึ่งบางมาตรามีเพียงโทษปรับสถานเดียว และบางมาตรามีทั้งโทษปรับ และโทษจำคุกความผิดลหุโทษ ถึงแม้จะมีโทษเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ความผิดที่ยอมความกันได้
ความผิดที่เปรียบเทียบได้ ความผิดที่เปรียบเทียบได้ เป็นความผิดที่มีลักษณะตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. การเปรียบเทียบคดีอาญา พ.ศ.๒๔๘๑ มาตรา ๔ และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การเปรียบเทียบคดีอาญา (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๒๙ กล่าวคือ ในความผิดที่เป็นลหุโทษ หรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความลหุโทษ หรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียว อย่างสูงไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้พนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนคดีนั้น มีอำนาจเปรียบเทียบได้ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๘ ความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย คือความผิดลักษณะ ดังต่อไปนี้ ก. ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษอย่างสูงไม่เกินความผิดลหุโทษ (จำคุกไม่เกิน ๑ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท) ข. คดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ค. คดีซึ่งเปรียบเทียบได้ตามกฎหมายอื่น ความมุ่งหมายของการเปรียบเทียบ (ปรับ) คดีอาญา ก็เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับความสะดวก และไม่เสียเวลาในการประกอบอาชีพ กฎหมายจึงให้อำนาจพนักงานสอบสวน ทำการเปรียบเทียบคดีอาญาที่เป็นความผิดในลักษณะดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล ในความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว เมื่อผู้กระทำผิดยินยอมเสียค่าปรับในอัตราอย่างสูง สำหรับความผิดนั้นก่อนศาลพิจารณา หรือในความผิดที่เป็นลหุโทษ หรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือในคดีซึ่งเปรียบเทียบได้ตามกฎหมายอื่นนั้น เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบแล้ว คดีอาญาเป็นอันเลิกกัน [5] ความผิดทั้งสองลักษณะดังกล่าว คือความผิดลหุโทษ และความผิดที่เปรียบเทียบได้ อันเป็นความผิดที่ผู้บังคับบัญชาสามารถลงทัณฑ์แก่ผู้กระทำได้นั้น ประการแรก จะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ของมาตรา ๗ เสียก่อน กล่าวคือผู้กระทำผิดต้องเป็นทหาร ประการต่อมาจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในมาตรา ๘ ด้วย กล่าวคือ ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นว่า เป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ และถือว่าเป็นความผิดต่อวินัยทหารด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความผิดลหุโทษ และความผิดที่เปรียบเทียบได้ เป็นความผิดอาญาที่ไม่ร้ายแรงและมีอัตรา โทษไม่สูง ทั้งกฎหมายยังให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบได้ ซึ่งมีผลทำให้คดีอาญาเลิกกันไป ก่อนที่คดีจะขึ้นสู่ศาล ซึ่งส่วนใหญ่คดีจะระงับไป ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน โอกาสที่คดีความผิดดังกล่าว จะมาถึงผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา ๘ จึงมีน้อยมาก ๓. เปรียบเทียบความผิดบางลักษณะของประมวลกฎหมายอาญาทหาร กับกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร กฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงการที่ทหารต้องอยู่ในวินัยทหาร และหากกระทำผิดวินัยก็จะถูกลงทัณฑ์ทางวินัย ส่วนประมวลกฎหมายอาญาทหาร เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาซึ่งใช้บังคับแก่ทหารโดยตรง เท่ากับว่ากฎหมายทั้ง ๒ ฉบับนี้มีลักษณะของการกระทำผิด และวิธีปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ระหว่างความผิดทางวินัยกับความผิดทางอาญา แต่ความจริง แล้วความผิดบางลักษณะในกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับนี้ มีความคล้ายคลึงและใกล้เคียงกันมาก ทั้งในด้านถ้อยคำ ตัวบท และลักษณะของความผิด ซึ่งก่อให้เกิดความไขว้เขวในทางปฏิบัติ การกระทำอย่างใดเป็นความผิดวินัยอย่างใดเป็นความผิดคดีอาญา และอาจก่อให้เกิดปัญหา เกี่ยวกับการสั่งการของผู้บังคับบัญชาทำให้คลาดเคลื่อน ไม่เป็นไปตามกฎหมายได้ เช่นความผิดฐานขัดคำสั่ง และความผิดฐานละทิ้งหน้าที่ จึงขอนำตัวบทกฎหมาย มาเปรียบเทียบกันดังนี้